เทคนิคในการมิกซ์และบันทึกเสียงร้อง

รวมเครื่องมือ และเทคนิคต่าง ๆ ในการ Mix และบันทึกเสียงร้อง เพื่อให้ได้เสียงร้องที่มีคุณภาพและเข้ากับเพลงได้มากที่สุด

1. Equalization

Equal Loudness contour หรือ Fletcher-Munson curve เป็นกราฟที่แสดงถึงระดับเสียงในแต่ละความถี่ ที่เราได้ยินความดังจะไม่คงที่ เช่น ที่ระดับเสียงจากลำโพงดัง (dB) เท่ากัน ที่ความถี่ 4k เราอาจจะได้ยินเบากว่า ที่ความถี่ 10k ตามกราฟ

image

ถึงเสียงปกติของคนจะประมาณ 87-1024 hz แต่ว่าก็มี Harmony การ EQ ก็คือปรับตรงส่วน Harmony... ถ้าปรับตาม curve ของ Fletcher-Munson ก็จะได้เสียงที่ฟังธรรมชาติขึ้น

2. Dynamics Processing 

Compressor

ใช้ในการปรับลดเสียงที่ดังเกินลง ไม่มีความต่างกระโชกโฮกฮากจนเกินไป ทำให้สัญญาณที่ดังปรับลดลงมาใกล้เคียงกับสัญญาณที่เบา มีค่าต่างๆ ตั้งแต่

  • threshold
  • ratio (ส่วนใหญ่ 3:1, 4:1)
  • gain reduction ส่วนใหญ่อยู่ที่ -3 ถึง -6 db
  • attack คือค่าระยะเวลาที่จะปรับลด
  • release คือระยะที่จะปรับเท่าเดิม

มี automatic gain ที่ปรับระดับเสียงให้อัตโนมัติ แต่ต้องระวังว่าส่วนไหนที่ไม่ได้ใช้จะเบาไปตอน mix

3. Vocal Mix Placement

การ Mix ตำแหน่งเสียงร้อง

Mix Placement เสียงร้องควรอยู่ตรงกลาง

มีการใช้ HAAS Effect คือการได้ยินเสียงข้างไหนก่อนเสียงอีกข้างจะทำให้รับรู้ตำแหน่งของเสียง ถ้าระยะ Delay น้อยมาก สมองจะเข้าใจว่าเสียงที่ delay อีกข้างจะเป็นเสียงสะท้อนของข้างที่มาถึงก่อน

และ Pan Law คือปรับให้เสียงแต่ละด้านเบาลงเรื่อยๆเมื่อไปอีกด้าน

4. Natural Doubling

ปกติเสียงจะอยู่ตรงกลาง เมื่อเสียงมาพร้อมกัน แต่ถ้าเราทำให้มาไม่พร้อมกัน ความเข้มเสียงต่างกัน จะเกิดการเหลื่อมกัน

เสียงที่ได้จะ กว้าง แห้ง ขึ้นมา โดยวิธีนี้ใช้ในเพลง pop ทั่วไปเพราะมี ambient ใช้การอัดซ้ำอีกรอบ อาจจะใช้ใน pan ซ้ายขวาเพื่อเพิ่มความกว้าง

  • Single Vocal Copied แค่ทำการ copy แล้ว pan ซ้ายขวาไม่ได้ช่วยให้เกิดการ double เพราะจะได้เสียงเหมือนเดิมแค่ดังขึ้น
  • Two Vocals in Phantom Center คนละเสียงกัน (ร้องซ้ำ) แล้วไว้ตรงกลาง มีเฟสต่างกัน ซึ่งเหมาะกับใช้ในการ Doubling
  • Natural Widening - Two Vocals Panned การ Double ร้องสองเสียง แล้วไว้ด้านซ้ายด้านขวา จะทำให้ฟังแล้วดูกว้างขึ้นเหมาะกับการทำ background
  • Three Vocals Center Panned 3 เสียง มีอันนึงไว้ตรงกลาง
  • Four Vocals Panned ซ้าย 2 ขวา 2 ในกรณีที่ซับซ้อนขึ้นอาจเปลี่ยน timbre เป็นอย่างอื่นเช่น Ohhh... Ahhhh แยกกัน
  • Cascaded คือปรับซ้ายขวาไม่สุด ทำให้กระจายๆทั่ว
  • Five Vocals Center Panned Cascaded ทำคอรัส 5 track (โน้ตเดียวกัน คนละเสียง) ซ้ายขวา ๆ มีอันนึงตรงกลาง ทำการปรับ cascade แต่บางทีตรงกลางอาจจะทำให้ เสียงร้องหลักไม่เด่น ควรปรับลดระดับเสียงลง
  • Six Vocals Center Panned Cascaded ทำคอรัส 5 track (โน้ตเดียวกัน คนละเสียง) ซ้ายขวาๆ มีอันนึงตรงกลาง แต่บางทีตรงกลางอาจจะทำให้ เสียงร้องหลักไม่เด่น ควรปรับลดระดับเสียงลง ปรับ cascade ให้ ทั้ง 6 tracks อยู่ทางฝั่งซ้าย 3 ฝั่งขวา 3
  • Four Stack Harmony มี 3 line ประสาน อัดซ้ำ 4 รอบ แล้วนำมาใช้ร่วมกัน (รวม 12 tracks) สามารถปรับ ซ้ายขวาได้ โดย แต่ละชุด(4 tracks) ปรับ left left right right ซึ่ง ถ้าปรับปกติ เสียงต่ำมักจะอยู่ตรงจุดกลาง เสียงสูงอยู่ปลาย ส่วนเสียงปกติอยู่ที่กลางๆ (แต่ก็สามารถปรับทำตรงข้ามได้) 

* ไม่ควรทำเกิน 8 เพราะทำเยอะๆ เกิด phrase cancelling ไม่เกิดอะไรขึ้น

** การนำเสียงไว้ตรงกลางหมด จะทำให้เกิดการซ้ำกันเยอะ จะเกิด beating เสียงจะประสานจนเหมือนเป็นจังหวะกระตุก ควรจะ pan ไว้คนละตำแหน่ง

5. Miking

ทำ widening จาก miking ใช้ 2 ไมค์ ไม่ค่อยใช้ในการร้องเท่าไหร่นักในการทำ widen sterero

Stereo Miking Techniques Coincident

นำไมค์มาวางไขว้กันแบบ X ไมค์ต้องอยู่ตำแหน่งเดียวกันใกล้กัน เพื่อไม่ให้เกิดความต่างของเวลา

สำหรับ Cardioid เรียกวิธีนี้ว่า X-Y Pattern เป็นตัว X แล้วร้องตรงตำแหน่งตัว V ของ X

image

ถ้าเป็นแบบ bi-directianl 2 ด้าน (รูปเลข 8) เรียกว่า Blumlein Microphone technique แบบนี้จะแคบกว่า เพราะ intensity มีทั้งสองด้าน ร้องตรงร่อง X

image

M-S (mid-side) technique ข้างล่างเป็น cardioid ข้างบนเป็น 8 ร้องตรงด้าน cardioid stereo จะ แคบขึ้น

image

Stereo Miking Techniques Near Coincident วางใกล้กัน แต่ไม่ใช่ตำแหน่งเดียวกันเหมือน Coincident

ORTF หัน Cardioid ออกจากกันประมาณ 90-110 องศา

image
image

Faulkner Stereo Mic Technique เหมือน ORTF ในกรณีที่เป็น pattern 8 ปรับองศาน้อยลงให้เหมือนหันหน้ามาหาคนร้องเลยเพราะเป็นแบบ 8 ระยะห่างประมาณ 7 นิ้ว เหมือนระยะหูของคน ใช้ในกรณีที่มีนักร้องคอรัสทั้งสองด้าน

image

Biaural recording หันแบบ Faulkner ใช้ Omni มีอะไรกั้นระหว่างไมค์ ให้เหมือนหัวคน เลียนแบบการได้ยินของคน

แบบ Near Coincident ที่กล่าวมาจะได้ Stereo ที่กว้างกว่า Coincident มักใช้กับกีต้าร์ หรือ เปียโน หรือทำให้เสียงร้องกว้าง

Stereo Miking Techniques Spaced Apart ให้ความ stereo กว้างสุด

Spaced Omni ใช้ใน Omni เว้นห่าง 12 นิ้ว ถ้ากว้างขึ้นกว่านี้เรื่อยๆ จะเกิดช่องว่างตรงกลาง เลยต้องเพิ่มอีกไมค์ตรงกลางเป็น Decca Tree Array