การมิกซ์เสียงร้องโดย DAW

Mix Placement and DAW Automation

Level

เสียงดังเบา ขึ้นอยู่กับความดังเบาตอนอัด เป็น ความดัน DBSPL หรือ DBFS ที่ดังเบาแล้วแต่ bit depth ของเสียงด้วย

ใช้ Fader มีส่วนใช้ ReadOut ที่เป็นตัว monitor ความดัง โดยจะต้องเผื่อส่วน Head room หรือคือส่วนที่ว่างด้านบนก่อนที่เสียงจะดังจนเป็นสีแดงหรือ distortion

สูตรคร่าวๆของ dB คือ ให้เอา bit depth x 6

24 bits = 144 dB

16 bits = 96 dB

สิ่งนี้ไม่ได้บอกว่าอะไรดังกว่ากัน แต่จะทำให้รู้ว่ามี Headroom ขนาดไหนก่อนจะ distortion

- การทำก็อาจจะ mix เสียงปรับ level ให้ดังเบาต่างกัน เช่นเสียงร้องหลักอาจจะให้ดังจนจะถึง 0 dB ไปเลยก็ได้

- Transient คือเสียงที่ดังเป็นแท่งขึ้นมาเพียงแวบเดียวแล้วเบา เช่นพวก kick drum, hi hat, หรือเสียงร้อง plosive ซึ่งเราต้องจัดการไม่ให้ transient เกิน limit

- Mix Engineer ส่วนใหญ่จะ mix จากต่ำสุดขึ้นมา คือ mix ที่อยู่ด้านหลังสุดก่อน เช่น กลอง kick drum แล้วก็ไล่ขึ้นมาทีละอัน ดันจากเบาสุดขึ้นมาทีละอัน ปรับให้ทุกเสียงชัดเจน และโดดเด่นตามเสียงของมัน

- การใช้สีช่วยในการจัดลำดับเสียงที่จะดังได้

Panning

การปรับซ้ายขวา ที่ทำให้เสียงต่างๆออกจากตรงกลาง ซึ่งจะปรับให้อยู่ตรงไหนก็ขึ้นกับรูปแบบ genre ของเพลง

ตัวอย่าง

- Kick Snap Clap อยู่ตรงกลาง

- Hi hat 2 แบบ ควรอยู่แยกซ้ายขวาสองอัน เพื่อใช้เป็นเหมือน เพดานของเพลง

- ใช้คอนเซปของ Widening ช่วย

Dynamics Processing

กระบวนการที่จัดการควบคุมเรื่อง Level ซึ่งมาจากความดังของเสียง พยางค์ Plosive F's S's มีผลต่องานอย่างมาก ถ้าใช้ได้ดีจะทำให้ได้งานที่ดีด้วย

ได้แก่ Compressor, Limiter, Gate, Expander

ตัวอย่างมีการใช้ Compressor , Gate โดยมีการอธิบาย Ratio, Threshold, Gain Reduction

EQ

ใช้ในการจัดการความถี่

มีหลายประเภท Parametric , Graphic, semi-graphic or paragraphic EQ

มีตัวอย่างการใช้ ความถี่เฉลี่ยของ โน้ตเสียงร้อง (pitch) หรือ Key เพลง มาเป็น center ของ EQ แต่ละตัว (เช่น B# ตรงกลาง ก็ใช้ B# และ harmony ในการจัดการความถี่ที่สูงขึ้นไป) และใช้ Equal-Loudness Contour จัดการ

กระบวนการนี้ใช้เวลาเป็นหลายชั่วโมงในการหาจุด center

Muddy Area ประมาณ 400Hz

Mid-range 800-3000 Hz เป็น Judgement Zone เป็นส่วนที่ควรให้ความสำคัญของเสียงร้องว่าควรลดหรือเพิ่มกว่าส่วนอื่น

Time-Based Effects

พวก Phantom Image, Widening, Slap back, Echo, Reverb และอื่นๆ

มีตัวอย่าง การใช้ Send จาก Lead Vocal ไปยัง Reverb ใช้ Plate ไม่ pre-delay

group Send chorus ไปยัง Reverb ตัวเดียวกัน แล้วปรับค่าให้พอดี

มีการทำ คอรัส Background โดยใช้ Artificial Widening ปรับ track ต้นทางไปทางซ้ายหมด และ Send ไปอีก Track ให้ pan ไปทางขวาและใส่ Effect Delay โดยใช้ค่าเป็นสัดส่วน Tempo อยู่ต่ำกว่า 30 ms

มีการใช้ Delay ปรับเป็น Tempo และ ให้ซ้ายขวาต่างกันเล็กน้อย (เป็น -1,+1% เพื่อความกว้าง) เพื่อทำให้เกิด Delay Echo

File Modifiers

คือการแก้ไขไฟล์นั่นเอง หรือ Edit ตัว track แบบ Offline (เหมือน Process ใน cubase) พอทำขึ้นมาก็จะมีการสร้าง File อีกเวอร์ชั่นขึ้นมา

หรือใช้การ Consolidate หรือ Bounce เพื่อทำไฟล์ใหม่แยกขึ้นมา

Automation

คือการ automation มี Read อ่านค่า automation ที่จะใช้ปรับค่าต่าง ๆ ในการมิกซ์แบบอัตโนมัติ โดยใน DAW เราสามารถ Record หรือ writeค่าต่าง ๆ ได้เช่น การกำหนดความดังในแต่ละช่วงเวลา

Touch ที่ทำการอัพเดทค่า เมื่อเรากด fader และปรับกลับค่าเดิมเมื่อปล่อย (อัพเดทเฉพาะกด)

Latch จะเป็นการอัพเดทค่า เมื่อเรากด fader และปล่อย ก็ยังอัพเดทต่อไปจนจบ

Recap

การเป็น Producer ต้องรู้ครอบคลุมทุกอย่างแตกสาขาย่อยทำได้ทุกส่วน แล้วสามารถประกอบมันขึ้นมาใหม่ได้ดี